🌎 Sustainability Expo 2025: Arthit CCS Project & Eastern Thailand CCS Hub 🚀
- Net Zero Techup

- 1 ต.ค.
- ยาว 2 นาที

🌎 𝐒𝐮𝐬𝐭𝐚𝐢𝐧𝐚𝐛𝐢𝐥𝐢𝐭𝐲 𝐄𝐱𝐩𝐨 𝟐𝟎𝟐𝟓: 𝐀𝐫𝐭𝐡𝐢𝐭 𝐂𝐂𝐒 𝐏𝐫𝐨𝐣𝐞𝐜𝐭 & 𝐄𝐚𝐬𝐭𝐞𝐫𝐧 𝐓𝐡𝐚𝐢𝐥𝐚𝐧𝐝 𝐂𝐂𝐒 𝐇𝐮𝐛 🚀
การเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำเป็นความท้าทายใหญ่ของโลก โดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนาอย่างไทยที่ยังพึ่งพิงภาคอุตสาหกรรมหนักและก๊าซธรรมชาติเป็นหลัก แม้ประเทศไทยประกาศเป้าหมาย Carbon Neutrality 2050 และ Net Zero 2065 แต่เส้นทางสู่เป้าหมายไม่ได้ราบรื่น เนื่องจากบางภาคส่วนถูกจัดอยู่ในกลุ่ม hard-to-abate sector เช่น ปิโตรเคมี เหล็ก และซีเมนต์ ที่ไม่สามารถพึ่งพาพลังงานหมุนเวียนอย่างเดียวในการลดการปล่อยได้
🌱 ในบริบทนี้ Carbon Capture and Storage (CCS) จึงถูกยกระดับเป็นเทคโนโลยีสำคัญ เพราะสามารถ “ดักจับคาร์บอนจากต้นทาง” แล้วกักเก็บถาวรใต้ดิน ทำให้ภาคอุตสาหกรรมสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปโดยไม่ละเลยเป้าหมายสิ่งแวดล้อม
1️⃣ 𝐀𝐫𝐭𝐡𝐢𝐭 𝐂𝐂𝐒 𝐏𝐫𝐨𝐣𝐞𝐜𝐭:
✅ โครงการ Arthit CCS Project พัฒนาโดย PTTEP คือ ก้าวแรกของไทยในการทดลอง CCS เชิงพาณิชย์อย่างจริงจัง โครงการนี้ตั้งอยู่ในแหล่งก๊าซ Arthit กลางอ่าวไทย และเพิ่งประกาศตัดสินใจลงทุน (FID) อย่างเป็นทางการเมื่อ 8 กันยายน 2025 โดยใช้โครงสร้างพื้นฐานเดิมร่วมกับการติดตั้งใหม่ คาดเริ่มอัดกลับ CO₂ ได้ในปี 2028 และทยอยเพิ่มสู่ศักยภาพสูงสุด 1 ล้านตันต่อปี ภายใน 5 ปี ด้วยงบลงทุนราว 10,000 ล้านบาท (≈ 320 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) โดยไม่กระทบต่อการผลิตก๊าซธรรมชาติของแหล่งอาทิตย์
✅ Arthit CCS ถูกออกแบบให้กักเก็บ CO₂ ประมาณ 1 ล้านตันต่อปี จุดเด่นสำคัญคือการทำหน้าที่เป็น Proof of Concept หรือสนามทดลองจริง ที่จะช่วยยืนยันว่า:
● ชั้นหินใต้ทะเลของอ่าวไทยมีคุณสมบัติเป็นแหล่งกักเก็บที่ปลอดภัยและเชื่อถือได้
● เทคโนโลยีและวิธีการตรวจสอบ (Measurement, Monitoring and Verification – MMV) สามารถป้องกันความเสี่ยงการรั่วซึมได้
● โมเดลต้นทุนและกระบวนการสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับโครงการ CCS ขนาดใหญ่ในอนาคต
2️⃣ 𝐄𝐚𝐬𝐭𝐞𝐫𝐧 𝐓𝐡𝐚𝐢𝐥𝐚𝐧𝐝 𝐂𝐂𝐒 𝐇𝐮𝐛:
หาก Arthit CCS เป็น “ก้าวแรก” Eastern Thailand CCS Hub คือ “ก้าวกระโดด” ที่จะยกระดับศักยภาพของประเทศ
✅ Hub นี้ถูกออกแบบเป็น โครงสร้างกลาง (hub-and-spoke model) สำหรับรวบรวมคาร์บอนไดออกไซด์จากหลายภาคอุตสาหกรรมในพื้นที่เศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) เช่น ระยองและชลบุรี โดยจะมีการดักจับ CO₂ จากโรงงานต่าง ๆ ผ่านระบบท่อส่งและลำเลียงไปกักเก็บในแหล่งก๊าซหมดสภาพกลางทะเล
✅ สิ่งที่ทำให้โครงการนี้สำคัญคือ Economies of Scale คือการรวมศูนย์การกักเก็บจะช่วยลดต้นทุนเฉลี่ยต่อหน่วย CO₂ ได้มากกว่าที่แต่ละโรงงานลงทุนทำเอง ขณะเดียวกันยังทำให้ภาคเอกชนมีความมั่นใจในการลงทุน เนื่องจากไม่ต้องสร้างระบบจัดเก็บของตนเองทั้งหมด
✅ Eastern CCS Hub จึงมีเป้าหมายรองรับการกักเก็บ หลายล้านตัน CO₂ ต่อปี และวางตำแหน่งให้ประเทศไทยเป็น CCS Hub ของอาเซียน
3️⃣ การบริหารเชิงกลยุทธ์ (𝐒𝐭𝐫𝐚𝐭𝐞𝐠𝐢𝐜 𝐌𝐚𝐧𝐚𝐠𝐞𝐦𝐞𝐧𝐭)
สองโครงการนี้ไม่ได้เดินแยกกัน แต่มีความเชื่อมโยงเชิงกลยุทธ์ที่ชัดเจน
🔹️ Arthit CCS จะเป็นสนามทดลองที่พิสูจน์ความเป็นไปได้ในด้านวิศวกรรม กฎหมาย และสังคม
🔹️ Eastern CCS Hub จะเป็นการต่อยอดเพื่อรองรับการใช้งานในระดับอุตสาหกรรมจริง พร้อมสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับการลงทุนใหม่
🔹️ ข้อมูลทางธรณีวิทยาและเทคนิคจาก Arthit จะถูกนำมาใช้สร้างความมั่นใจให้กับ CCS Hub
🔹️ การมี “Pilot Success Story” จะช่วยดึงดูดนักลงทุนและเพิ่มแรงจูงใจให้รัฐออกมาตรการสนับสนุน
👉 กล่าวได้ว่า Arthit CCS คือ บันไดขั้นแรก และ Eastern CCS Hub คือ เป้าหมายขั้นใหญ่
4️⃣ ความท้าทายที่ต้องจับตา (𝐂𝐡𝐚𝐥𝐥𝐞𝐧𝐠𝐞𝐬)
แม้ CCS จะมีศักยภาพสูง แต่ก็มีความท้าทายหลายด้านที่ประเทศไทยต้องเผชิญ ได้แก่
🔹️ ต้นทุน: CCS ต้องการเงินลงทุนสูงและใช้เวลาคืนทุนนาน
🔹️ กฎหมายและกรอบกำกับดูแล: ปัจจุบันไทยยังไม่มี “CCS Law” ที่ชัดเจน เช่น เรื่องสิทธิการใช้พื้นที่ใต้ทะเลหรือความรับผิดกรณีเกิดการรั่วซึม
🔹️ การยอมรับของสังคม: ประชาชนยังมีความกังวลเรื่องความปลอดภัยและผลกระทบสิ่งแวดล้อม
🔹️ การแข่งขันกับทางเลือกอื่น: CCS ต้องเดินคู่กับพลังงานหมุนเวียนและไฮโดรเจน ไม่ใช่ถูกมองว่าเป็น “ทางลัด” ที่ทำให้เลี่ยงการลดคาร์บอนวิธีอื่น
5️⃣ มูลค่าเชิงกลยุทธ์ (𝐒𝐭𝐫𝐚𝐭𝐞𝐠𝐢𝐜 𝐕𝐚𝐥𝐮𝐞)
หากสามารถก้าวข้ามความท้าทายเหล่านี้ได้ CCS จะสร้างประโยชน์เชิงกลยุทธ์อย่างมหาศาล ได้แก่
🔹️ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้หลายล้านตันต่อปี
🔹️ ปกป้องการส่งออกของไทยจากมาตรการภาษีคาร์บอนชายแดน (CBAM) ของสหภาพยุโรป
🔹️ ดึงดูดการลงทุนใหม่ในพื้นที่ EEC และสร้าง Ecosystem ของอุตสาหกรรม CCS/CCUS
🔹️ เสริมความมั่นคงทางพลังงานและเพิ่มความน่าสนใจของไทยในฐานะผู้นำ CCS ในอาเซียน
🔑 ดังนั้น จะเห็นได้ว่า Arthit CCS Project และ Eastern Thailand CCS Hub ไม่ได้เป็นเพียงโครงการลดคาร์บอน หากแต่เป็น "หมุดหมายสำคัญ" ที่สะท้อนให้เห็นถึงการเริ่มต้นสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานสะอาดของไทยอย่างจริงจัง ทั้งสองโครงการจะปูทางสู่การบรรลุเป้าหมาย Net Zero 2065 และเสริมบทบาทให้ประเทศไทยก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลาง CCS ของภูมิภาค
🚩 แหล่งที่มาข้อมูล:



















ความคิดเห็น