หากพูดถึงระบบบล็อกเชน (Blockchain) คงไม่มีใครไม่รู้จัก อีเธอเรียม (Ethereum) ก็คือระบบบล็อกเชนหนึ่งที่คล้ายคลึงกับบิตคอยน์ (Bitcoin) ในอดีตกระบวนที่เกี่ยวข้องกับ Bitcoin และ Ethereum ถูกกล่าวหาอย่างหนักว่าเป็นกิจกรรมที่สิ้นเปลืองพลังงานอย่างมหาศาลจากรูปแบบการขุดเหรียญ ซึ่งเป็นสาเหตุของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทำให้เกิดภาวะโลกร้อน แต่ในปัจจุบันได้มีการพัฒนาเป็น “The Merge of Ethereum” โดยการเปลี่ยนรูปแบบการขุดเหรียญด้วยการรวมระบบ Mainnet เข้ากับบีคอนเชน (Beacon Chain) เปลี่ยนกลไกฉันทามติ (Consensus Algorithm) เป็นแบบ Proof-of-Stake (PoS) แทน Proof-of-Work (PoW) อย่างสมบูรณ์บนบล็อกเชนอีเธอเรียม โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้การทำธุรกรรมรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ มีความน่าเชื่อถือ ช่วยลดโลกร้อน และประหยัดพลังงานมากขึ้น
✅️ การเริ่มต้นยุคของ Ethereum ที่ยั่งยืนและเป็นมิตรกับสภาพภูมิอากาศได้เกิดขึ้น การประมาณการการใช้พลังงานสำหรับ Ethereum มาจากการศึกษาของ CCRI (Crypto Carbon Ratings Institute) โดยประมาณการจากการวัดปริมาณการใช้ไฟฟ้าและการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของเครือข่าย Ethereum ซึ่ง CCRI ประมาณการว่า The Merge ช่วยลดการใช้ไฟฟ้าต่อปีของ Ethereum ได้มากกว่า 99.988% ในทำนองเดียวกัน การปล่อยก๊าซเรือนกระจกของ Ethereum ลดลงประมาณ 99.992% (จาก 11,016,000 tCO2e เหลือเพียง 870 tCO2e) ในมุมมองนี้ การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกก็เหมือนกับการเปลี่ยนจากความสูงของหอไอเฟลไปเป็นของเล่นพลาสติกขนาดเล็ก ส่งผลให้ต้นทุนด้านสิ่งแวดล้อมในการรักษาความปลอดภัยเครือข่ายลดลงอย่างมาก ในขณะเดียวกัน เชื่อว่าการรักษาความปลอดภัยของเครือข่ายได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้นด้วยเช่นกัน
✅️ หลังเกิด The Merge of Ethereum นั้น ทำให้เกิดการลดการใช้พลังงานของเครือข่ายอีเธอเรียมมหาศาล นอกจากนี้ ศักยภาพของบล็อกเชนเองสามารถนำมาประยุกต์ใช้งานได้หลากหลายอุตสาหกรรม ช่วยลดขั้นตอนในการทำงาน สามารถทำให้กระบวนการทำงานรูปแบบเดิมมีต้นทุนต่ำลง และเป็นมิตรกับสภาพภูมิอากาศมากขึ้น เป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการลงทุนที่น่าสนใจในแง่ของการเป็นเครือข่ายที่เป็นมิตรกับสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม (Green Blockchain) และอาจเป็นแรงดึงดูดให้กับนักลงทุนในอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัล ที่มุ่งเน้นในด้านสิ่งแวดล้อม ให้เข้ามาร่วมลงทุนและพัฒนาเทคโนโลยีในอนาคต
🚩 แหล่งที่มาของข้อมูล: #TGO
Comments